วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รู้ทันโรค ลมพิษ


รู้ทันโรค ลมพิษ โรคลมพิษ สาเหตุของลมพิษ แพ้อาหาร แพ้ยา

ขึ้นชื่นว่า “ลมพิษ” ทุกคนมักรู้จักดี เพราะเป็นโรคที่พบได้เสมอ และผู้ใหญ่ส่วนใญ่ก็เคยเป็นลมพิษมาบ้างแล้ว มีคนเคยกล่าวว่า ทุกคนที่เกดมามักจะต้องเป็นลมพิษในช่วงชีวิตหนึ่ง ลมพิษเป็นปฏิกิริยาของ เส้นเลือดในผิวหนัง นั่นเอง ที่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทำให้มีลักษะเฉพาะคือมี ผื่นแดง นูน ขอบเขตชัดเจน ขอบอาจจะหยักนูน และมีอาการคันมาก บางคนขึ้นแต่เพียงบางแห่งของร่างกาย แต่ส่วนใญ่มักจะขึ้นทั้งตัว บางคนเป็นชั่วระยะเวลาสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือเพียงเป็นวัน แต่บางคนลมพิษอาจจะเกิดขึ้นทุกวัน เป็นเวลานานเป็นปี ๆ ก็ได้ ซึ่งเรียกว่า “ลมพิษชนิดเรื้อรัง” ลมพิษมิได้จะเกิดแต่ในผู้ใหญ่เท่านั้น แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็อาจเกิดลมพิษได้เช่นเดียวกัน

สาเหตุของลมพิษ มีมากมาย อาจจะเกิดจากการแพ้สารบางชนิด จากการรับประทาน สัมผัส สูด หรือฉีดเข้าไป ลมพิษบางชนิดมิได้เกิดจากการแพ้ แต่อาจเกิดร่วมกับโรคบางชนิด สาเหตุที่สำคัญของลมพิษ พอแบ่งได้คือ

อาหาร
แพ้อาหาร เป็นสิ่งที่พบบ่อยที่สุด อาหารที่เป็นสาเหตุมักเป็นอาหารพวก โปรตีน โดยเฉพาะอาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ปลา หอย นอกจากนั้น ไข่ ถั่ว นม หรือแม้ผลไม้ก็ก่อให้เกิดลมพิษได้
ผักและผลไม้บางอย่างมีสารประเภท salicylate ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดลมพิษได้ เช่น พบใน แอ๊ปเปิ้ล แตงกวา มันฝรั่ง มะเขือเทศ มะนาว พริกไทย ส้มโอ องุ่น ส้ม เป็นต้น นอกจากนั้นอาหารและเครื่องดื่มที่มี ยีสต์ เช่น ขนมปัง เหล้า เบียร์ ก็เป็นสาเหตุสำคัญ

ยา
ยาเป็นสาเหตุที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง อาจะเกิดทันทีภายหลังรับยาชนิดนี้ เช่นการฉีด หรือรับประทานอาหาร จะสังเกตไดง่าย แต่บางรายกินเวลานานเป็น 7-10 วัน ยาที่สำคัญได้แก่ ยาประเภท ปฏิชีวนะ โดยเฉพาะ เพนนิซิลลิน ซัลฟา ยาแก้ปวด ยานอนหลับ สารทึบแสงที่ใช้ในการตรวจทางเอกซเรย์ หรือกระทั่ง วิตามิน ก็อาจก่อให้เกิดลมพิษได้

โรคติดเชื้อ
โดยเฉพาะในวัยเด็ก พบพยาธิในลำไส้ เป็นสาเหตุได้บ่อย เช่น พยาธิตัวแบน เชื้อบิด นอกจากนี้การติดเชื้อในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น เชื้อราในช่องคลอด, ฟันผุ ก็เป็นสาเหตุของลมพิษได้

แมลง
อาจก่อให้เกิดลมพิษได้ทั้งจากการสัมผัส ถูกกัด เช่น ไรแมว ไรสุนัข ริ้น บุ้ง จากการต่อย เช่น ผึ้ง แตน ต่อ หมาร่า มดแดงไฟ มดตะนอย บางครั้งอาการรุนแรงมาก มีลมพิษ มีการบวมทั้งตัว ผู้ป่วยช็อค บางรายอาจเสียชีวิตในเวลาอันสั้นภายหลังถูกต่อย

สารในอากาศ

เช่น ฝุ่น เชื้อราในอากาศ เกสรหญ้า เกสรต้นไม้ ขนสัตว์ เมื่อสูดสารเหล่านี้เข้าไปมาก ๆ อาจก่อให้เกิดลมพิษได้

ความเย็น
ผู้ป่วยบางราย แพ้ความเย็น เช่น เวลาถูกอากาศเย็น อาบน้ำเย็น ทานน้ำแข็งแล้วบวมในบริเวณคอ หายใจลำบาง อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเป็นผลจากโรคในร่างกาย เช่น ซิฟิลิส หรือ มะเร็งในน้ำเหลือง

แสงแดด
แพ้แดด พบในหญิงมากกว่าชาย โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-40 ปี เมื่อถูกแสงแดดแล้วเกิดผื่นคันขึ้นมา อาจแก้ได้โดยการหลีกเลี่ยงไม่พบแสงแดด หรือใช้ยาทากันแสงแดด

ลมพิษภายหลังการออกกำลังกาย หรือมีเหงื่อ
ลมพิษชนิดนี้มักเป็นเม็ดเล็ก ๆ เกิดบริเวณแขนขามากกว่าลำตัว

สาเหตุทางจิตใจ
ผู้ป่วยบางรายเกิดลมพิษภายหลังมีอารมณ์ผิดปกติ ภายหลังมีความโกรธ ความเครียด ความกังวล มักเป็นลมพิษชนิดเรื้อรัง

สาเหตุ จากแรงขูดบนผิวหนัง
ผิวหนังไวต่อการขูดข่วน ทำให้เกิดรอยนูน คัน ตามบริเวณที่ถูกรอยข่วนภายในเวลาไม่กี่นาที ยิ่งเกายิ่งมีรอยและคันมากขึ้น

สาเหตุจากโรคอื่น
โรคบางอย่างทำให้เกิดลมพิษร่วมได้ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

โดยทั่วไปลมพิษจะไม่รุนแรง และอาจหายไปได้เองเมื่อสารที่ก่อให้แพ้นั้นได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายแล้ว อาจไม่ต้องได้รับการรักษาเป็นพิเศษแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอาการเรื้อรังก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ อุจจาระ หรือ จรวจสารเคมีในเลือด บางรายต้องทำการทดสอบผิวหนังด้วย

credit ความรู้สำหรับประชาชน "รู้เรื่องโรค"

โรคท้องผูก


สาเหตุทั่วไปของการเกิดโรคท้องผูก ได้แก่
  
    ๑. ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อย หรือบางทีแม้ดื่มน้ำมากแต่เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บน้ำไว้ได้ ก็ทำให้ขาดน้ำสาเหตุที่เก็บน้ำไม่ได้ ก็เพราะ เราไม่ค่อยได้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อจึงไม่ฟูทำให้เก็บน้ำไว้ไม่ได้ หรือ มิฉะนั้น การดื่มน้ำเย็นจัด เช่นน้ำใส่น้ำแข็ง ก็ทำให้ร่างกายไม่เก็บน้ำ หรือการอยู่หน้าเตาไฟ หน้าตู้อบนานๆความร้อนจากเตาไฟ จากตู้อบ ดึงน้ำในตัวออกไป แต่เจ้าตัวยังดื่มน้ำปริมาณเท่าเดิม ผลที่ตามมาก็คือท้องผูก


    ๒. ไม่ชอบรับประทานพืชผักพลไม้ ชอบกินแต่อาหารประเภทเนื้อหรือพวกอาหารที่มีกากน้อย แต่ไม่กินผักผลไม้ที่มีกากมาก ใครที่เคยล้างท่อหรือล้างขวดจะเข้าใจได้ดีว่าถ้าจะให้ท่อหรือขวดเกลี้ยง เขาต้องใช้แปรงขัดด้ามยาวๆล้วงเข้าไปขัดในท่อหรือในขวด แต่ลำไส้ของเรายาวกว่าขวดแล้วจะใช้แปรงอะไรสอดเข้าไปล้างลำไส้ ก็ใช้เส้นใยจากพืชผักผลไม้ที่กินเข้าไป เพื่อไปทำหน้าที่ครูดเอาของเสียออกจากผนังลำไส้ พืชผักผลไม้จึงเป็นเสมือนแปรงล้างลำไส้ของคนเรานั่นเอง

                                                             
    ๓. อั้นอุจจาระนานๆ การอั้นอุจจาระไว้นานๆ เป็นผลให้น้ำที่มีอยู่ในอุจจาระถูกลำไส้ใหญ่ดูดกลับเข้าไปในเส้นเลือด หลังจากน้ำถูกดูดซึมออกจากอุจจาระ อุจจาระก็จะแห้งท้องจึงผูก เพราะฉะนั้นอย่าถ่ายอุจจาระผิดเวลาโดยใช่เหตุถึงเวลาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ช่าง ขอไปถ่ายก่อนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน


    ๔. ไม่ชอบออกกำลังกาย ยิ่งถ้านอนเฉยๆ หรือนั่งเฉยๆ เป็นเวลานานๆจะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ค่อยบีบตัว อุจจาระก็ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ติดต่อกันหลายวัน จึงเกิดอาการท้องผูกขึ้นหากทิ้งไว้นานๆ ท้องจะเสียตามมา เพราะอุจจาระที่ตกค้างเน่า
 

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคเบาหวาน


-แพทย์แผนไทยกับการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ซึ่งมีสาเหตุจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่รับประทานเข้าไปได้หมด จึงทำให้น้ำตาลคั่งอยู่ในเลือด ถ้ามีน้ำตาลในเลือดมากจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ จึงเรียกอาการดังกล่าวว่า “เบาหวาน”

โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ คนที่เจ็บป่วยด้วยโรคนี้มักจะต้องไปพบแพทย์ประจำ รับประทานยาและตรวจร่างกายอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะเสียเวลาที่จะต้องไปรอรับการรักษาที่โรงพยาบาลและค่าใช้จ่าย ค่ายาหรือค่าตรวจต่างๆ เมื่อรวมแล้วแต่ละปีก็มีราคาสูงมาก

เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือการทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างคนทั่วไป ไม่แสดงโรคแทรกซ้อนตามมา และไม่เกิดอันตรายจากภาวะที่เกิดจากโรคเบาหวาน เช่นภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะช็อก หรือมีอาการที่ควรจะระวัดระวัง คือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเย็น เหงื่อออก ใจสั่น และอาจหมดสติได้ ดังนั้นแพทย์หรือผู้ให้คำแนะนำ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงให้ผู้ป่วยมีบัตรประจำตัวผู้ป่วยพกไว้ติดตัว และมีน้ำตาลก้อน หรือลูกอมรสหวานติดไว้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน

อาการที่สำคัญของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ถ่ายปัสสาวะบ่อย และมีปริมาณปัสสาวะมาก เนื่องจากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนล้นออกมาทางปัสสาวะ การปัสสาวะบ่อยทำให้ร่างกายเสียน้ำ ผู้ป่วยจะมีอาการหิวบ่อยและกระหายน้ำตามมา

น้ำหนักลดลง ทั้งๆ ที่รับประทานอาหารบ่อยขึ้น

หลักในการควบคุมโรคเบาหวาน

การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล?? ลดอาหารที่มีไขมันมาก หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ทุเรียน ลำไย ละมุด เงาะ ฯลฯ ควรรับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น

ตรวจร่างกายเป็นประจำ และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากโรคเบาหวาน

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ระมัดระวังไม่ให้ร่างกายเกิดแผล เพราะจะทำให้แผลหายช้า

กินอย่างไรจึงปลอดภัยจากโรคเบาหวาน

ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทยได้มีการบันทึกไว้ เกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคเบาหวาน โดยเน้นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่หาง่ายในท้องถิ่น และส่วนใหญ่มักใช้มาประกอบเป็นอาหารกินเป็นประจำ เป็นที่น่าสังเกตว่าคนไทยในสมัยโบราณ “กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น” มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ปัจจุบันพฤติกรรมรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป มีค่านิยมเลียนแบบสังคมตะวันตก เน้นการรับประทานอาหารที่มีในระดับจากเนื้อสัตว์ ซึ่งมีไขมันสูง กินผักน้อยลง สมุนไพรที่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่ใช้กินได้แก่มะระ ตำลึง และเตยหอม

1. มะระ ส่วนใหญ่จะใช้มะระขี้นก โดยใช้ผลดิบแก่ที่ยังไม่สุก และยอดอ่อน ใช้เนื้อรับประทานเป็นผักจิ้ม? ผลของมะระนำมาลวก รับประทานกับน้ำพริก ส่วนผลมะระจีนใช้ประกอบอาหาร เช่นแกงจืด ผัด

ผลมะระขี้นก

สรรพคุณทางยา

ตามตำรายาไทย เป็นยารสขม ช่วยเจริญอาหาร น้ำคั้นจากผลช่วยแก้ไข้ และใช้อมแก้ปากเปื่อย

ผลของมะระจีนที่โตเต็มที่แล้วนำมาหั่นตากแห้งชงกับน้ำร้อน ใช้ดื่มแทนน้ำชา แก้โรคเบาหวาน

ใบสดของมะระขี้นก หั่นชงกับน้ำร้อนใช้ถ่ายพยาธิเข็มหมุด และนอกจากนั้นในผลและใบของมะระยังมีสารที่มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ พี-อินซูลิน (p-insulin) ซึ่งเป็นสารโปรตีน และคาแรนติน (charantin) ซึ่งเป็นสารผสมของสเตียรอยด์ กลัยโคไซด์ 2 ชนิด การค้นพบสารที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดจากผลมะระ จึงเป็นข้อมูลสนับสนุนภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ได้นำผลมะระมาประกอบเป็นอาหาร และยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

แต่อย่างไรก็ตามการนำสมุนไพรมาใช้เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดใน ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องไปตรวจร่างกายเป็นประจำและต่อเนื่อง เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือด และเพื่อความปลอดภัย เพราะบางครั้งอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติเป็นอันตราย

2. ตำลึง ตำลึงเป็นผักพื้นบ้าน ที่มีคุณค่าทางด้านอาหารสูง : ประกอบด้วยวิตามิน 10 แร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินอื่นๆ อีกมาก ยอดตำลึงใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่นแกงจืด ผัดผัก ลวกจิ้มน้ำพริก แกงเลียง ใส่ก๋วยเตี๋ยว นอกจากจะมีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารสูง ในตำลึงยังพบกรดอะมิโนหลายชนิด ในผลตำลึงพบสารคิวเดอร์ บิตาขึ้น?บี (cucurbitacinB)

ผลตำลึง

สรรพคุณทางยา

ใบและเถาตำลึงมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีการทดลองใช้น้ำคั้นจากใบและเถาตำลึง น้ำคั้นจากผลดิบ และสารสกัดจากเถาตำลึงด้วยแอลกอฮอล์ พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้

3. เตยหอม ใบเตยมีสีเขียว น้ำคั้นจากใบเตย มีกลิ่นหอมนำมาใช้แต่งสีขนม แต่งกลิ่นอาหาร นอกจากนี้ยังนิยมนำมาเป็นเครื่องดื่ม น้ำที่ได้จากใบเตยมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น ไลนาลิลอะซีเตท (Linalyl acetate), เบนซิลอะซีเตท (benzyl acetate), ไลนาโลออล(Linalool), และเจอรานิออล (geraniol) และมีสารหอมคูมาริน(Coumarin) และเอททิลวานิลลิน(ethyl vanilin)

ใบเตยหอม

สรรพคุณทางยา

ในตำรายาไทย ใช้ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจ ให้ชุมชื่นช่วยลดอาการกระหายน้ำ รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน น้ำต้มรากเตยสามารถลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้

หลักการดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวานและการป้องกัน

การแพทย์แผนไทยเป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เป็นการปรับพฤติกรรม เป็นการปรับสมดุลของธาตุเจ้าเรือนในร่างกาย หลักเลี่ยงพฤติกรรมก่อโรค 8 ประการคือ การกินอาหารที่ไม่ถูกกับธาตุอาหาร บูด,เน่า,หมักดอง,การเปลี่ยนอิริยาบท, การกระทบความร้อนและความเย็น,การนอน อดข้าว อดน้ำ การกลั้นอุจจาระปัสสาวะ การทำงานเกินกำลัง ความเศร้าใจเสียใจ ความโกรธ พฤติกรรมดังกล่าวเหล่านี้สาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด

นอกจากนี้การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารโดยเน้น

กินข้าวที่อุดมด้วยวิตามิน ได้แก่ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะได้คาร์โบไฮเดรทช่วยย่อยสลายอย่างช้าๆ ให้เวลาตับอ่อนขับอินซูลิน วิตามินบีในข้าวกล้อง ช่วยเผาผลาญน้ำตาลให้หมด ในข้าวกล้องยังมีเส้นใยมากกว่าข้าวขาว 9 เท่า ช่วยให้อิ่มง่าย เป็นผลให้รับประทานแป้งน้อยลง น้ำตาลในเลือดไม่สูง

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ เนย หลีกเลี่ยงอาหารทอด

รับประทานเนื้อสัตว์ลดลง ถ้ากินเป็นพวกปลา หรือถั่วต่างๆ ได้ก็จะทำให้ได้รับโปรตีนที่เพียงพอ และไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง

กินผักสด และผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน เพราะในผักมีการต้านอนุมูลอิสระ อุดมด้วยวิตามิน

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตามอัตภาพ เช่น เดิน กายบริหารท่าฤาษีดัดตน

ใช้หลักธรรมานามัย คือจิตตานามัย จิตรวมมีสมาธิ ชีวิตตานามัย ใช้ชีวิตโดยการดำเนินตามทางสายกลาง และกายนามัย คือ ทำร่างกายให้แข็งแรง รักษาสมดุลของร่างกาย

-รายชื่อผักพื้นบ้านที่มีคุณค่าทางอาหารสูง คือมีวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน มากกว่าผักอื่นที่ควรรับประทาน เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ได้แก่ มะระ กระชาย กระเทียม ยอดแค ใบกะเพรา ใบขี้เหล็ก ผักเชียงดา ผักติ้ว ผักกะเฉด แครอท ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ตำลึง ผักกูด ผักแพง ผักชีลาว ผักแว่น ใบบัวบก ใบกระเจี๊ยบ ใบแมงลัก ใบเหมียว ผักหวาน ผักไผ่ เป็นต้น

-เส้นใยในผักพื้นบ้าน ทำให้อิ่มง่าย แคลอรีที่รับประทานเข้าสู่ ร่างกายน้อย จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเบาหวานได้ เส้นใยยังช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินในอาหารมื้อนั้นที่เรากินเข้าไป และช่วยขับไขมันมาพร้อมกับกรดน้ำดี ไม่ได้ดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย อาหารที่มีเส้นใยสูงจึงช่วยป้องกันรักษาโรคเบาหวาน โรคไขมันในหลอดเลือดสูง เป็นผลในการรักษาระดับความดันโลหิต ป้องกันการเกิดโรคหัวใจในระยะยาวได้

-ผู้ที่ยังไม่เจ็บป่วย ก็สามารถกินเพื่อป้องกัน คนที่ป่วยก็ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดแม้จะไม่ช่วยรักษาแทนยาแผนปัจจุบัน แต่ถ้าเราควบคุมอาหาร กินอาหารที่มีประโยชน์ดังกล่าว ใช้ควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบัน จะช่วยให้เรามีชีวิตที่ยืนยาว มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคแทรกซ้อน การปฏิบัติตัวดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ยากเกินไป เพราะมีอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่น สามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ปลูกผักริมรั้วไว้กิน ให้ทั้งร่มเงา ให้ทั้งบรรยากาศที่ดี เป็นอาหารพร้อมทั้งมีสรรพคุณทางยา เราเริ่มปลูกผักและเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่เป็นสุขในวันหน้า
 
ได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลโดย สถาบันการแพทย์แผนไทย

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รู้ทันโรคตา


แผลที่กระจกตา (แผลที่ตาดำ) พบได้ในคนทุกวัยเป็นภาวะที่ร้ายแรง
 หากรักษาไม่ทัน อาจทำให้ตาบอดได้


สาเหตุ
มักเกิดจากการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส (ที่
พบบ่อย คือ เริม และงูสวัด) โดยอาจมีประวัติได้รับการกระทบกระ
เทือน ทิ่มแทง หรือเสียดสีถูกกระจกตา หรือมีสารเคมี หรือสิ่งแปลก
ปลอมเข้าตา แล้วเชื้อโรคเข้าไปแบ่งตัวในเนื้อของกระจกตาเกิดการ
อักเสบเป็นแผลขึ้น
หรือไม่อาจเป็นเพราะกระจกตามีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำ เช่น การ
ใช้ยาหยอดตาสเตอรอยด์นาน ๆ, โรคขาดวิตามินเอ, หนังตาหลับไม่
มิด เนื่องจากเป็นอัมพาตปากเบี้ยว ทำให้ผิวของกระจกตาดำแห้งติด
เชื้อง่ายนอกจากนี้    อาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคริดสีดวงตา
หรือโรคขนตาเก , เยื่อตาขาวอักเสบ

อาการ
ในระยะที่ติดเชื้ออักเสบใหม่ ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา เคืองตา กลัว
แสง น้ำตาไหล ตาแดง ตาพร่ามัว  อาจมีขี้ตาสีเหลืองเขียว   ในรายที่
การอักเสบทุเลาลงแล้ว และเหลือแต่แผลเป็นที่กระจกตาดำจะทำให้
ผู้ป่วยมีอาการตามัว หรือฝ้าฟางจะตรวจพบแผลเป็นขุ่นขาวที่กระจก
ตาดำ เรียกว่า ต้อลำไย ซึ่งจะบดบังแสงไม่ให้เข้าตา ทำให้มีอาการ
ตาบอดได้ ส่วนมากมักเป็นที่ตาเพียงข้างเดียว

สิ่งตรวจพบ
ตาแดง มีขี้ตาสีเหลืองเขียวและตรวจพบแผลที่กระจกตา เห็นเป็น
รอยฝ้าสีเทา ๆ หรือสีขาว ในระยะการอักเสบทุเลาแล้ว จะพบแผล
เป็นขุ่นขาว (ต้อลำไย)

อาการแทรกซ้อน
ในระยะที่มีการติดเชื้ออักเสบ เชื้อโรค อาจกินทะลุชั้นของกระจกตา
เข้าไป ทำให้เกิดการอักเสบภายในลูกตา อาจกลายเป็นม่านตา
อักเสบ, มีหนองขังอยู่ในช่องลูกตาหน้า (hypopyon), ลูกตาอักเสบ
ทั่วไป (panophthalmitis) จนตาเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิด
จากเชื้อรา มักจะมีความรุนแรงมาก
ในรายที่กลายเป็นแผลเป็นที่กระจกตา (ต้อลำไย) ทำให้ตามองเห็น
ไม่ถนัด ถ้าแผลเป็นมีขนาดใหญ่และอยู่ตรงกลางตาดำก็จะทำให้ตา
มองไม่เห็น

การรักษา
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน ควรให้ขี้ผึ้งป้ายตาเจนตาไมซิน
แล้วปิดตาด้วยผ้ากอซ ควรตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตาม
สาเหตุพร้อมกับให้ยาหยอดตาอะโทรพีน ขนาด 1% เช่นเดียวกับการ
รักษาโรคม่านตาอักเสบ
ถ้าเป็นแผลที่กระจกตา และประสาทตายังเป็นปกติ อาจต้องทำการ
ผ่าตัดปลูกถ่าย (หรือเปลี่ยน) กระจกตา (corneal transplantation)
โดยตัดเอาส่วนที่เป็นแผลเป็นออกไป แล้วเอากระจกตาที่ปกติของ
ผู้เสียชีวิตใหม่ ๆ มาใส่แทน จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับเห็นเหมือนปกติได้
(การผ่าตัดเปลี่ยนตา ก็หมายถึง การผ่าตัดชนิดนี้ ไม่ใช่หมายถึง
เปลี่ยนลูกตาทั้งลูก ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้)

ข้อแนะนำ

โรคนี้ถือว่าเป็นภาวะร้ายแรง ถ้าพบขณะที่มีอาการอักเสบรุนแรงควร
ส่งโรงพยาบาลด่วน หากปล่อยไว้อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกัน ด้วยการระวังอย่าให้สิ่งแปลกปลอมเข้าตา (ถ้าทำ
งานในโรงงานที่เสี่ยงต่อปัญหานี้ควรสวมหน้ากากหรือแว่นตาป้องกัน
โดยเฉพาะ)   หลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์โดยไม่จำ
เป็น และพยายามรักษาโรคตาต่าง ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุ ของโรคนี้

รายละเอียด
ห้ามใช้ยาหยอดตาสเตอรอยด์นาน ๆ อาจทำให้เป็นแผลที่กระจก
ตาดำ และต้อหินได้

อาการเวียนหัว


อาการเวียนศีรษะ

อาการเวียนหัว

ในวงการแพทย์มักกล่าวกันว่า...
อาการเวียนศีรษะเกิดจากระดับน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งยังค้นไม่พบว่าได้มีการวัดกันจริงๆ

แต่สิ่งที่ได้พบในคนไข้ที่มีอาการเวียนศีรษะก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณคอของเขาตึงมาก

จนกระทั่งไปปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว

ส่งผล...
ให้อวัยวะที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวบกพร่อง

จาก...หนังสือสุขภาพนักสร้างบารมี

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ต่อมน้ำลายอักเสบ


ต่อมน้ำลายอักเสบ
หรือชื่อที่เรามักคุ้น "คางทูม" เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู พบมากในเด็กอายุ 6 – 10 ปี แต่ไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี อาจพบระบาดได้เป็นครั้งคราว แต่ของผู้ใหญ่จะอาการหนักกว่าเด็กมากกว่า

เกิดจากสาเหตุ
       เกิดจากเชื้อคางทูมซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus เชื้อจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัสถูกมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่แปดเปื้อน เชื้อก็แบบเดียวกับไข้หวัด มีระยะฟักตัว 14 – 20 วันค่ะ ถึงค่อยแสดงอาการออกมา

อาการที่พบ
มักมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดในรูหูหรือหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืนนำมาก่อน 1- 3 วัน ต่อมาพบว่าบริเวณข้างหูหรือขากรรไกร มีอาการปวดบวมและกดเจ็บ ผิวหนังบริเวณนั้นอาจมีลักษณะแดง ร้อนและตึง มักรู้สึกปวดร้าวไปที่หูขณะกลืน เคี้ยว หรืออ้าปาก บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีอาการอักเสบของต่อมน้ำลายทั้ง 2 ข้าง โดยห่างกันประมาณ 4 – 5 วัน อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบหายไปในเวลา 7 – 10 วัน

สิ่งที่ตรวจพบ
            อาจมีไข้ 38 – 40 องศาเซลเซียส บางรายอาจไม่มีไข้ บริเวณขากรรไกรบวม ข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างรูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมเล็กน้อย

การรักษา
รักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบค่ะ เช่น อาจให้นอนพัก ดื่มน้ำมากๆ เช็ดตัวหากมีไข้สูง ให้ยาลดไข้แก้ปวด หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่เป็นคางทูม บ้วนปากด้วยน้ำผสมเกลือบ่อย ๆ เป็นต้น แต่โรคนี้ สามารถป้องกันโดยการฉีดวัคซีน ซึ่งรวมในเข็มเดียวกันกับวัคซีนป้องกันหัดและหัดเยอรมันที่มีชื่อว่า MMR มักจะฉีดเมื่ออายุ ได้ 9 – 15 เดือนค่ะ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ

 วิตามินซี.....ช่วยได้ (บ้าง)
วิตามินซีมีรสเปรี้ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายขับน้ำลายออกมาหล่อเลี้ยงช่องปากมากขึ้น เป็นผลทำให้ต่อมน้ำลายลดอาการอักเสบและลดอาการบวมได้เร็วขึ้น จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นวิตามินซีก็ได้ค่ะ บางท่านอาจดื่มน้ำผลไม้หรือรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว หรือแม้แต่อมลูกอมรสเปรี้ยวๆ ก็จะมีผลเช่นเดียวกัน

ข้อมูลจาก motherandchild.

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สาเหตุและอาการของโรคภูมิแพ้และโรคหอบหืด

โรคภูมิแพ้






ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีอาการน้ำมูกไหลไม่หยุด ทั้งนี้เพราะระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเธติคที่ทำหน้าที่ควบคุมการหยุดหลั่งน้ำมูก

ซึ่ง.....
        ผ่านมาทางคอและทางท้ายทอยถูกปิดกั้น ไม่สามารถส่งสัญญาณได้ตามปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อในบริเวณนี้ มีอาการเกร็งและดึงรั้งกันเกิดขึ้น

โดยปกติ...
        เมื่อมีสิ่งใดมากระตุ้นร่างกาย เช่น ขี้ฝุ่น ระบบประสาทพาราซิมพาเธติค ก็จะส่งสัญญาณให้น้ำมูกไหลออกมาปะทะและจับผงฝุ่นนั้นไว้

ครั้นเมื่อ.....
        เก็บรวบรวมผงฝุ่นได้หมดแล้ว ระบบประสาทซิมพาเธติคก็จะส่งสัญญาณสั่งให้น้ำมูกหยุดไหล

แต่โดยเหตุที่...
        เส้นประสาทซิมพาเธติค ไม่สามารถส่งสัญญาณได้ตามปกติ น้ำมูกจึงไหลอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด จึงเกิดเป็น....โรคภูมิแพ้ ขึ้น


โรคหอบหืด
หอบหืด

        เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น เช่น ความเย็น ฝุ่นละออง ควัน เกสรดอกไม้ เป็นต้น มักจะมีอาการอึดอัดแน่นหน้าอก หายใจลำบาก มีเสียงหายใจดังวี๊ด มักจะมีอาการไอถี่ๆ และมีเสลดเหนียวเกิดขึ้น นี่คืออาการของโรคหอบหืด   

โดยปกติ...
        เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหลุดลอยเข้าไปสู่หลอดลม ระบบประสาทพาราซิมพาเธติคจะส่งสัญญาณสั่งให้หลอดลมหดตัว และหลั่งสารเมือกออกมาจับสิ่งแปลกปลอมนั้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการทำลายต่อไป

หลังจากนั้น.....
        ระบบประสาทซิมพาเธติคก็จะส่งสัญญาณสั่งให้หลอดลมคลายตัวกลับสู่ภาวะปกติ

แต่ถ้าเมื่อใด.....
        ระบบประสาทซิมพาเธติคถูกปิดกั้นการทำงานเนื่องจากการเกร็งของกล้ามเนื้อตามแนวกระดูกสันหลัง ในบริเวณที่ออกของเส้นประสาทที่แตกจากไขสันหลัง ทำให้หลอดลมที่หดตัวแล้วไม่ยอมคลาย หลอดลมจึงตีบอยู่ ทำให้หายใจไม่สะดวก...
        รวมทั้ง.....ไม่ได้รับสัญญาณให้เมือกหยุดหลั่ง ร่างกายจึงต้องขับเมือกออก ทำให้มีอาการไอมาก

 
จาก.....หนังสือสุขภาพนักสร้างบารมี

สาเหตุและอาการของโรคปวดข้อ

 



โดยภาวะปกติ...
        คนเราย่อมไม่มีอาการปวดข้อ ทั้งนี้ก็เพราะกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด ซึ่งทำหน้าที่พยุงและควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อ ไม่ว่าจะหมุนซ้ายหรือหมุนขวา ก็จะทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน จึงไม่เจ็บ ไม่ปวด




 อย่างไรก็ตาม...
        ถ้าเมื่อใดสมองสั่งการมายังกล้ามเนื้อที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อ แต่มีกล้ามเนื้อบางมัดได้รับสัญญาณไม่สมบูรณ์ ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน ก่อให้เกิดการดึงรั้งของข้อและเนื้อเยื่อ จนเกิดการเจ็บปวดขึ้น นานๆ เข้าก็เกิดอาการอักเสบ การสึก และการเสื่อมของข้อได้

ทำไมกล้ามเนื้อบางมัดจึงไม่ได้รับสัญญาณ หรือได้รับสัญญาณไม่สมบูรณ์...
        ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนนั้น ผ่านบริเวณที่มีการเกร็งและดึงรั้งของกล้ามเนื้อและพังผืด ส่วนใหญ่พบที่บริเวณแนวกระดูกสันหลัง ทำให้ไม่สามารถส่งผ่านสัญญาณที่สมองสั่งมาให้ทำงานอย่างสัมพันธ์กันได้ตามปกติ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี ผลร้ายที่ตามมาอีกก็คือ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงอีกด้วย

ปวดข้อเข่า




ตามธรรมดาเมื่อมีอาการปวดข้อ คนเราก็สนใจดูแลเฉพาะแต่ตรงข้อ หรืออย่างมากก็บอกว่า กล้ามเนื้อตรงบริเวณข้อไม่แข็งแรง จึงพยายามบริหารกล้ามเนื้อตรงข้อนั้นให้แข็งแรง

แต่ความจริงมีอยู่ว่า...
        กล้ามเนื้อที่ไม่ได้รับสัญญาณประสาทจากสมองจะบริหารอย่างไรก็ยากที่จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะกล้ามเนื้อจะพัฒนาให้กลับแข็งแรงตามปกติได้ ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ขององค์ประกอบหลักทั้ง 3 ประการ ดังที่กล่าวในบทที่ 1

จาก...หนังสือสุขภาพนักสร้างบารมี

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ




โรคกระเพาะอาหารอักเสบ






ในภาวะปกติ...

        เมื่ออาหารถึงกระเพาะ ระบบประสาทพาราซิมพาเธติคจะเป็นตัวเร่งการผลิตกรดออกมาจำนวนมากเพื่อย่อยอาหาร ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้กระเพาะบีบตัว เพื่อคลุกเคล้าอาหารและขับเคลื่อนอาหารไปสู่ลำไส้ต่อไป


ส่วนระบบประสาทซิมพาเธติค...

        จะทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งการผลิตกรดให้ลดน้อยลง และคลายการบีบตัวของกระเพาะอาหาร


จากการศึกษาได้พบว่า...
        เมื่อกล้ามเนื้อตามแนวกระดูกสันหลังตึง การไหลเวียนถูกปิดกั้น ทำให้สัญญาณประสาทซิมพาเธติคบกพร่อง กรดจึงหลั่งไม่หยุด เมื่อกรดมีจำนวนมากก็กัดทำลายกระเพาะ ทำให้เยื่อบุกระเพาะเกิดการอักเสบ บางครั้งกรดก็ล้นขึ้นมาที่หลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก หรือมีอาการเรอเหม็นเปรี้ยว หรือกระเพาะบีบตัวแล้วไม่คลาย ก็ทำให้เกิดอาการจุกที่ลิ้นปี่ เป็นต้น


หลังโก่ง หลังแอ่น หลังคด




สภาพหลังโก่ง หลังแอ่น และหลังคด ก็มีสาเหตุ...
        ทำนองเดียวกับการปวดข้อ จะต่างกันก็ตรงที่ตำแหน่งการดึงรั้งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด




กล่าวคือ...
        หลังโก่ง เกิดขึ้นเพราะมีการดึงรั้งเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดด้านหน้า หลังแอ่นเกิดขึ้นเพราะมีการดึงรั้งเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดด้านหลัง ส่วนหลังคด เกิดขึ้นเพราะกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดตรงบริเวณสีข้างซีกซ้ายหรือซีกขวามีการดึงรั้ง

จากสาเหตุของโรคที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้...
        กล่าวได้ว่า การที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีการหดและดึงรั้งอย่างต่อเนื่อง โดยขาดการผ่อนคลายตามปกติ แล้วส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของอวัยวะ และระบบต่างๆที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น ทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากโครงสร้างของร่างกายเสียสมดุล


จาก...หนังสือสุขภาพนักสร้างบารมี




วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ไส้ติ่งอักเสบ




ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลันที่พบมากที่สุด โดยจะพบในคนวัยหนุ่มสาวที่อายุไม่เกิน 30 ปี เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

       สาเหตุของการเกิดไส้ติ่งอักเสบนั้น เกิดการอุดตันของไส้ติ่งจากอุจจาระที่แข็งตัว สิ่งแปลกปลอม พยาธิ หรือมีก้อนเนื้องอก ทำให้ไปอุดตัน และเกิดการอักเสบขึ้นมา โดยอาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรคส่วนใหญ่จะมีอาการปวดท้อง บอกตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ อาจปวดรอบสะดือก่อน ปวดเป็นพัก ๆ หรือตลอดเวลาก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักปวดตลอดเวลา

       หลังจากนั้นอาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวา และอาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการไม่เหมือนดังที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่ง เช่น อาจปวดท้องด้านขวาบน หรือตรงกลางก็ได้ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น

      ในส่วนของการรักษาไส้ติ่งอักเสบ ไม่ว่าไส้ติ่งจะแตกหรือไม่ ทำได้โดยการผ่าตัด ในรายที่ไส้ติ่งแตก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ไส้ติ่งกลายเป็นฝีในท้องต้องผ่าตัดออก หรือไส้ติ่งแตกมีหนองออกมาภายในช่องท้องทำให้เสียชีวิตได้

      ดังนั้นหากมีอาการปวดท้องเริ่มแรกโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่าเพิ่งทานยาแก้ปวด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด โดยเฉพาะหากปวดท้องมากติดต่อกันนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็มักเป็นอาการร้ายแรงอื่น ๆ เสมอ