ต่อมน้ำลายอักเสบ
หรือชื่อที่เรามักคุ้น "คางทูม" เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู พบมากในเด็กอายุ 6 – 10 ปี แต่ไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี อาจพบระบาดได้เป็นครั้งคราว แต่ของผู้ใหญ่จะอาการหนักกว่าเด็กมากกว่า
เกิดจากสาเหตุ
เกิดจากเชื้อคางทูมซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus เชื้อจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัสถูกมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่แปดเปื้อน เชื้อก็แบบเดียวกับไข้หวัด มีระยะฟักตัว 14 – 20 วันค่ะ ถึงค่อยแสดงอาการออกมา
อาการที่พบ
มักมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดในรูหูหรือหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืนนำมาก่อน 1- 3 วัน ต่อมาพบว่าบริเวณข้างหูหรือขากรรไกร มีอาการปวดบวมและกดเจ็บ ผิวหนังบริเวณนั้นอาจมีลักษณะแดง ร้อนและตึง มักรู้สึกปวดร้าวไปที่หูขณะกลืน เคี้ยว หรืออ้าปาก บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีอาการอักเสบของต่อมน้ำลายทั้ง 2 ข้าง โดยห่างกันประมาณ 4 – 5 วัน อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบหายไปในเวลา 7 – 10 วัน
สิ่งที่ตรวจพบ
อาจมีไข้ 38 – 40 องศาเซลเซียส บางรายอาจไม่มีไข้ บริเวณขากรรไกรบวม ข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างรูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมเล็กน้อย
การรักษา
รักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบค่ะ เช่น อาจให้นอนพัก ดื่มน้ำมากๆ เช็ดตัวหากมีไข้สูง ให้ยาลดไข้แก้ปวด หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่เป็นคางทูม บ้วนปากด้วยน้ำผสมเกลือบ่อย ๆ เป็นต้น แต่โรคนี้ สามารถป้องกันโดยการฉีดวัคซีน ซึ่งรวมในเข็มเดียวกันกับวัคซีนป้องกันหัดและหัดเยอรมันที่มีชื่อว่า MMR มักจะฉีดเมื่ออายุ ได้ 9 – 15 เดือนค่ะ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ
วิตามินซี.....ช่วยได้ (บ้าง)
วิตามินซีมีรสเปรี้ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายขับน้ำลายออกมาหล่อเลี้ยงช่องปากมากขึ้น เป็นผลทำให้ต่อมน้ำลายลดอาการอักเสบและลดอาการบวมได้เร็วขึ้น จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นวิตามินซีก็ได้ค่ะ บางท่านอาจดื่มน้ำผลไม้หรือรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว หรือแม้แต่อมลูกอมรสเปรี้ยวๆ ก็จะมีผลเช่นเดียวกัน
ข้อมูลจาก motherandchild.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น